ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก คือ
ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

รู้ทันดอกเบี้ยทบต้น VS ลดต้นลดดอก ต่างกันอย่างไร?

ดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการกู้เงินและการลงทุน การกู้เงินหรือการลงทุนเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาระหนี้สินหรือผลตอบแทนที่ได้รับ หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าการคิดดอกเบี้ยมีหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ ดอกเบี้ยทบต้น และ ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก ซึ่งมีผลต่อการชำระหนี้และผลตอบแทนจากการลงทุนต่างกันอย่างมาก บทความนี้ เงินให้ใจจะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่าง อธิบายหลักการทำงานของดอกเบี้ยทั้งสองแบบ เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดอกเบี้ยทบต้น

ดอกเบี้ยทบต้น คืออะไร? ทำงานอย่างไร?

ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คือ ระบบการคิดดอกเบี้ยที่คำนวณจากเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยที่สะสมในแต่ละงวด หมายความว่าในแต่ละรอบ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปคำนวณรวมกับเงินต้นเพื่อคิดดอกเบี้ยในงวดถัดไป ทำให้เกิดการสะสมของดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง 

ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยทบต้น

สมมติว่าคุณฝากเงิน 100,000 บาท ในบัญชีที่ให้ดอกเบี้ย 5% ต่อปีแบบทบต้น หากไม่มีการถอนเงิน ดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกคำนวณใหม่ทุกปีตามสูตร :

โดยที่

- A = เงินรวมหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง

- P = เงินต้น

- r = อัตราดอกเบี้ยต่อปี (ในกรณีนี้คือ 0.05)

- t = ระยะเวลาที่ฝากเงิน

ปีที่ 1 : ดอกเบี้ย = 100,000 × 0.05 = 5,000 บาท → รวมเป็น 105,000 บาท

ปีที่ 2 : ดอกเบี้ย = 105,000 × 0.05 = 5,250 บาท → รวมเป็น 110,250 บาท

จะเห็นว่าดอกเบี้ยที่ได้รับในปีที่ 2 สูงกว่าปีแรก เพราะดอกเบี้ยคำนวณจากเงินต้นที่เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยเดิม

ข้อดีของดอกเบี้ยทบต้น

- ช่วยให้เงินงอกเงยขึ้นอย่างรวดเร็วหากเป็นการลงทุน

- เป็นกลไกสำคัญของดอกเบี้ยเงินฝากและกองทุนสะสม

ข้อเสียของดอกเบี้ยทบต้น

- หากเป็นหนี้ อาจทำให้ภาระดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถจ่ายคืนตรงเวลา

ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก คืออะไร? ดีอย่างไร?

ในทางกลับกัน ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก เป็นวิธีคิดดอกเบี้ยที่ใช้กับสินเชื่อส่วนใหญ่ เช่น สินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ ดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อเงินต้นลดลงจากการชำระคืนในแต่ละงวด

หลักการทำงานของดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

การคำนวณดอกเบี้ยแบบนี้จะใช้สูตร :

สมมติคุณกู้เงินซื้อบ้าน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี และต้องจ่ายคืนเป็นงวดรายเดือน

เดือนที่ 1 : ดอกเบี้ย = 1,000,000 × (6%/12) = 5,000 บาท

หากคุณจ่ายคืน 10,000 บาท โดย 5,000 บาทเป็นดอกเบี้ย และ 5,000 บาทเป็นเงินต้น เงินต้นจะลดลงเหลือ 995,000 บาท

เดือนที่ 2 : ดอกเบี้ย = 995,000 × (6%/12) = 4,975 บาท

จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเรื่อยๆ เมื่อเงินต้นลดลง นี่คือข้อดีของระบบนี้

ข้อดีของดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

- ช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้น หากมีการชำระเงินเกินกว่าขั้นต่ำ

- ดอกเบี้ยโดยรวมที่ต้องจ่ายจะน้อยกว่าระบบดอกเบี้ยคงที่

ข้อเสียของดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

- เงินที่ต้องจ่ายในงวดแรกๆ อาจสูงกว่าระบบดอกเบี้ยแบบคงที่

- ต้องมีวินัยในการจ่ายเงินให้ตรงเวลา เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงเร็วที่สุด

ดอกเบี้ยแบบไหนเหมาะกับคุณ?

เมื่อเข้าใจหลักการของดอกเบี้ยทั้งสองแบบแล้ว คำถามสำคัญคือ แบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด? การเลือกใช้ดอกเบี้ยแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนสูงสุด หรือการกู้เงินเพื่อให้ภาระหนี้ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีที่ควรเลือก ดอกเบี้ยทบต้น

หากคุณต้องการเพิ่มผลตอบแทนจากเงินที่ออมไว้ หรือวางแผนการลงทุนในระยะยาว ดอกเบี้ยทบต้น เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเมื่อดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยนั้นจะถูกนำไปคำนวณเป็นเงินต้นใหม่ ทำให้เกิดผลตอบแทนแบบก้าวกระโดด

- กรณีลงทุน เช่น การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์แบบทบต้น กองทุนรวม หรือหุ้นที่ปันผล โดยเฉพาะในกรณีที่คุณวางแผนถือครองสินทรัพย์ในระยะยาว การใช้ดอกเบี้ยทบต้นช่วยให้เงินของคุณเติบโตได้มากขึ้น

- การออมเงินให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด การเลือกออมเงินในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ใช้ดอกเบี้ยทบต้น เช่น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมที่นำดอกเบี้ยกลับมาลงทุนต่อ สามารถช่วยให้เงินออมของคุณเติบโตอย่างต่อเนื่อง

กรณีที่ควรเลือก ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

ในกรณีที่คุณต้องการลดภาระหนี้และต้องการวางแผนการชำระเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะช่วยให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงตามจำนวนเงินต้นที่ลดลง

- เมื่อกู้เงินซื้อบ้านหรือรถยนต์ การใช้สินเชื่อที่มีดอกเบี้ยลดต้นลดดอกจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว เพราะเมื่อคุณจ่ายค่างวด เงินต้นจะลดลงเรื่อยๆ และดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้การชำระหนี้ในระยะยาวมีต้นทุนที่ถูกลง

- หากต้องการปิดหนี้เร็วขึ้น ดอกเบี้ยลดต้นลดดอกช่วยให้คุณสามารถจ่ายเงินกู้หมดได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจากดอกเบี้ยทบต้นที่ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา

สรุป

ดอกเบี้ยทบต้น คือ ระบบดอกเบี้ยที่นำดอกเบี้ยสะสมมาคิดเพิ่มในงวดถัดไป ทำให้ดอกเบี้ยเติบโตเร็วขึ้น นิยมใช้ในกรณีการลงทุนและเงินฝาก ส่วน ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก เป็นระบบที่ช่วยลดดอกเบี้ยเมื่อเงินต้นลดลง เหมาะกับการกู้สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยทั้งสองแบบ จะช่วยให้คุณวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงิน หรือการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต

สำหรับใครที่ต้องการเงินด่วน สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899

เผยแพร่ 13 ก.พ. 2568

บทความอื่น ๆ

สมัครสินเชื่อไม่ผ่าน

รวมเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คุณขอสินเชื่อไม่ผ่านสักที

เปิดเผยสาเหตุหลักที่ทำให้สมัครสินเชื่อไม่ผ่าน ทั้งปัญหาหนี้เสีย หนี้เสียบัตรเครดิต พร้อมแนวทางปรับปรุงเพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติในครั้งต่อไป

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568

ลูกหนี้

บริหารลูกหนี้แบบมือโปร! เข้าใจลูกหนี้-เจ้าหนี้ในธุรกิจให้ดีขึ้น

รู้เทคนิคการจัดการลูกหนี้อย่างเป็นระบบ ป้องกันหนี้เสียตั้งแต่ต้นทาง และแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568

สินเชื่อรถยนต์

รู้ก่อนกู้! ธนาคารคิดอย่างไรกับภาระหนี้ของคุณ?

เข้าใจหลักเกณฑ์ที่ธนาคารใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ เรียนรู้วิธีเพิ่มโอกาสอนุมัติสินเชื่อรถยนต์

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568