ปรับโครงสร้างหนี้
สินเชื่อ ผ่านง่าย

รู้ก่อนกู้! ธนาคารคิดอย่างไรกับภาระหนี้ของคุณ?

"ทำไมธนาคารถึงปฏิเสธสินเชื่อของฉัน ทั้งที่รายได้ก็ดี ไม่เคยผิดนัดชำระ?"

"เหตุใดเพื่อนที่รายได้พอๆ กับฉันถึงได้วงเงินสินเชื่อมากกว่า?"

"ฉันมีหนี้หลายก้อนจนเริ่มรู้สึกหนักใจ การปรับโครงสร้างหนี้ดีไหม? ธนาคารจะอนุมัติไหม?"

คำถามเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในใจของคุณเมื่อต้องติดต่อกับธนาคารเรื่องสินเชื่อ แต่รู้หรือไม่ว่า ธนาคารมองภาระหนี้ของคุณอย่างไร และใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณาสินเชื่อ? บทความนี้จะเปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของธนาคาร เพื่อให้คุณเตรียมตัวได้ถูกต้องก่อนยื่นขอสินเชื่อครั้งต่อไป

ธนาคารประเมิน "ความสามารถในการชำระหนี้" ของคุณอย่างไร?

ก่อนที่ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อใดๆ สิ่งแรกที่พวกเขาต้องการรู้คือ "ความสามารถในการชำระหนี้" ของคุณ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพิจารณา โดยธนาคารจะใช้หลักเกณฑ์ต่อไปนี้

1. อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR)

นี่คือตัวเลขที่ธนาคารใช้ประเมินว่าคุณมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้เพิ่มได้หรือไม่

โดยทั่วไป ธนาคารจะกำหนด DSR ไว้ไม่เกิน 30-40% ซึ่งหมายความว่า ภาระผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดของคุณไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้ต่อเดือน

2. ประวัติการชำระหนี้ (Credit History)

ธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของคุณจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ซึ่งจะเก็บข้อมูลย้อนหลังไปถึง 5 ปี โดยดูว่า

- คุณเคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่

- คุณชำระหนี้ตรงเวลาหรือไม่

- คุณมีการใช้วงเงินสินเชื่อในสัดส่วนเท่าไร

หากคุณมีประวัติการชำระหนี้ดี ไม่เคยผิดนัดชำระ ธนาคารจะมองว่าคุณเป็นลูกค้าที่มีวินัยทางการเงินและมีความเสี่ยงต่ำ

3. ความสม่ำเสมอของรายได้

ธนาคารไม่ได้ดูแค่จำนวนรายได้ แต่ยังดูความสม่ำเสมอของรายได้ด้วย โดยเฉพาะในกรณี

- พนักงานประจำ : ต้องทำงานกับบริษัทปัจจุบันมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี

- เจ้าของกิจการหรืออาชีพอิสระ : ต้องประกอบธุรกิจหรือมีรายได้อย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 2-3 ปี

ทำไมคุณถึงถูกปฏิเสธสินเชื่อ แม้มีรายได้ดี?

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงถูกปฏิเสธสินเชื่อ ทั้งที่รายได้ก็ดี ไม่เคยผิดนัดชำระ สาเหตุอาจเป็นเพราะ

1. ภาระหนี้สูงเกินไป

แม้คุณจะมีรายได้สูง แต่หากมีภาระหนี้มากอยู่แล้ว DSR ของคุณอาจเกินเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด โดยเฉพาะหากคุณมีสินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อบ้านที่มียอดผ่อนชำระสูง

2. ประวัติการชำระหนี้มีปัญหา

แม้เพียงครั้งเดียวที่คุณผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วัน อาจส่งผลให้ประวัติเครดิตของคุณมีปัญหาได้ นอกจากนี้ การยื่นขอสินเชื่อหลายที่ในระยะเวลาใกล้เคียงกันก็อาจทำให้ธนาคารมองว่าคุณกำลังมีปัญหาทางการเงิน

3. รายได้ไม่สม่ำเสมอ

หากคุณเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ หรือมีรายได้ไม่แน่นอน เช่น พนักงานทดลองงาน ฟรีแลนซ์ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ธนาคารอาจประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้

7 วิธีเพิ่ม "ความสามารถในการชำระหนี้" ในสายตาธนาคาร

หากคุณต้องการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อหรือการปรับโครงสร้างหนี้ ลองทำตามวิธีเหล่านี้

1. จัดการหนี้เดิมให้ดี : ชำระหนี้ตรงเวลาเสมอ และหากเป็นไปได้ ให้ชำระมากกว่ายอดขั้นต่ำที่กำหนด ธนาคารให้ความสำคัญกับประวัติการชำระเงินย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน การชำระเต็มจำนวนหรือมากกว่าขั้นต่ำจะแสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินที่ดี

2. ลดภาระหนี้ที่มีอยู่ : พยายามปิดหนี้ก้อนเล็กๆ ก่อน เพื่อลด DSR ของคุณ ทุ่มเทชำระหนี้ก้อนเล็กที่สุดให้หมดก่อน เมื่อปิดได้แล้วให้นำเงินส่วนนั้นไปเพิ่มในการชำระหนี้ก้อนถัดไป วิธีนี้จะช่วยการปรับโครงสร้างหนี้ ให้คุณเห็นความสำเร็จเร็วขึ้นและมีแรงจูงใจในการจัดการหนี้

3. รวมหนี้หลายก้อนเป็นก้อนเดียว : การรวมหนี้หลายก้อนที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต เป็นสินเชื่อก้อนเดียวที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า จะช่วยลดภาระการผ่อนต่อเดือนได้ ปัจจุบันหลายธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรวมหนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลทั่วไป

4. สร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดี : หากคุณไม่มีประวัติการใช้สินเชื่อมาก่อน ให้เริ่มจากการใช้บัตรเครดิตและชำระเต็มจำนวนทุกเดือน การไม่มีประวัติเครดิตเลยอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ธนาคารต้องการเห็นว่าคุณสามารถบริหารจัดการสินเชื่อได้อย่างมีความรับผิดชอบ

5. เพิ่มเงินดาวน์ : สำหรับสินเชื่อรถยนต์หรือสินเชื่อบ้าน การวางเงินดาวน์ในสัดส่วนที่สูงจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ เช่น หากทั่วไปธนาคารกำหนดดาวน์ขั้นต่ำ 10-20% แต่คุณสามารถจ่ายได้ถึง 30-40% โอกาสอนุมัติจะสูงขึ้นและอาจได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงด้วย

6. มีผู้ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ : ในบางกรณี การมีผู้ค้ำประกันที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ ผู้ค้ำประกันควรมีรายได้ประจำที่มั่นคง มีประวัติเครดิตดี และไม่มีภาระหนี้สินมากเกินไป

7. เตรียมเอกสารทางการเงินให้ครบถ้วน : สำหรับผู้ประกอบการหรืออาชีพอิสระ การมีเอกสารทางการเงินที่เป็นระบบ เช่น บัญชีรายรับ-รายจ่าย งบการเงิน จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ หากคุณไม่มีรายได้ประจำ ควรเตรียมสเตทเมนท์ย้อนหลัง 6-12 เดือน และเอกสารการเสียภาษีย้อนหลังอย่างน้อย 2-3 ปี

สรุป

การเข้าใจว่าธนาคารประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของคุณอย่างไร จะช่วยให้คุณวางแผนทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขอสินเชื่อรถยนต์ หรือแม้แต่การขอการปรับโครงสร้างหนี้ หากประสบปัญหาทางการเงิน

สุดท้ายนี้ พึงระลึกไว้เสมอว่า ธนาคารไม่ได้ปฏิเสธสินเชื่อเพราะต้องการกลั่นแกล้งคุณ แต่เพราะพวกเขาต้องการปกป้องทั้งธุรกิจของพวกเขาและตัวคุณเองจากภาระหนี้ที่เกินความสามารถในการชำระ การรู้จักข้อจำกัดทางการเงินของตัวเองและวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณใช้สินเชื่อได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับใครที่ต้องการเงินด่วน สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568

บทความอื่น ๆ

สมัครสินเชื่อไม่ผ่าน

รวมเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คุณขอสินเชื่อไม่ผ่านสักที

เปิดเผยสาเหตุหลักที่ทำให้สมัครสินเชื่อไม่ผ่าน ทั้งปัญหาหนี้เสีย หนี้เสียบัตรเครดิต พร้อมแนวทางปรับปรุงเพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติในครั้งต่อไป

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568

ลูกหนี้

บริหารลูกหนี้แบบมือโปร! เข้าใจลูกหนี้-เจ้าหนี้ในธุรกิจให้ดีขึ้น

รู้เทคนิคการจัดการลูกหนี้อย่างเป็นระบบ ป้องกันหนี้เสียตั้งแต่ต้นทาง และแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568

งบการเงิน

"งบการเงินส่วนบุคคล" เทคนิคเช็กความแข็งแรงทางการเงินด้วยตัวเอง

รู้จัก "งบการเงินส่วนบุคคล" เครื่องมือเช็กสุขภาพทางการเงิน เรียนรู้วิธีจัดทำงบดุลและงบกระแสเงินสดเพื่อวางแผนการออมอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมการเงินได้ด้วยตัวเอง

เผยแพร่ 17 เม.ย. 2568